Calcium L-Threonate
แคลเซียมคืออะไร
โดยปกติร่างกายจะไม่สามารถสร้างแคลเซียมได้เองจำเป็นต้องได้รับผ่านการย่อยอาหารและการดูดซึมร่วมกับวิตามินดี (Vitamin D) ที่ลำไส้เล็ก ดังนั้นเราจึงต้องรับประทานแคลเซียมอย่างเพียงพอเพื่อทดแทนหรือเสริมสร้างการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
จะเกิดอะไรขึ้นหากร่างกายขาดแคลเซียม
โรคกระดูกพรุน
ปวดตามข้อ / ข้ออักเสบ
ชัก
กล้ามเนื้อเกร็งกระตุก
แคลเซียมในคนแต่ละวัย
วัยเด็ก (แรกเกิด – อายุ 14 ปี)
เป็นช่วงที่มีการขยายของกระดูก ทั้งในด้านขนาด, รูปร่าง, สัดส่วน ช่วงนี้กระดูกก็จะมีอัตราการสร้างมากกว่าการสลาย เพราะเป็นวัยที่สามารถสะสมมวลกระดูกและมีประสิทธิภาพในการดูดซึมแคลเซียมได้มากที่สุด เพื่อการเพิ่มความสูงและป้องกันภาวะกระดูกพรุนในวัยสูงอายุ
การสร้างกระดูกให้สูงใหญ่และแข็งแรง จึงควรเริ่มตั้งแต่ก่อนถึงวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15 – 44 ปี)
จากการศึกษาทางคลินิกของสหรัฐอเมริกา ในเด็กผู้หญิงอายุ 12 ปี จำนวน 38 คน ที่ทานแคลเซียม ในปริมาณ แคลเซียม 800 มก., แมกนีเซียม 400 มก., วิตามินดี3 400 ยูนิตสากล (IU) ต่อวัน นาน 12 เดือน พบว่า มีการสร้างมวลกระดูกและเพิ่มความหนาแน่นในกระดูกซึ่งส่งผลต่อความสูงที่เพิ่มขึ้นได้มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ทานอย่างมีนัยสำคัญ
วัยหนุ่มสาว อายุ 15 – 24 ปี
วัยหนุ่มสาวนี้เป็นช่วงวัยที่ร่างกายกำลังดำเนินขบวนการก่อรูปกระดูก ดังนั้นจึงควรได้รับแคลเซียมปริมาณวันละ 1,000 มิลลิกรัม เพื่อเสริมความแข็งแรงและเพิ่มมวลกระดูกให้หนาแน่นยิ่งขึ้น เนื่องจากถ้าได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะส่งผลเสียตามมาภายหลังอย่างเช่น ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกอ่อน อาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อหรือกระดูก และหากกระดูกมีการแตกหักเกิดขึ้น จะทำให้กระดูกสมานตัวได้ช้ากว่าปกติ
วัยกลางคน – วัยสูงอายุ
เมื่อก้าวเข้าสู่อายุ 30 ปี ขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มไม่สะสมแคลเซียมอีกต่อไป และยังมีโอกาสการสูญเสียแคลเซียมในกระดูกสูงขึ้น จึงมีโอกาสที่จะต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับกระดูกมากขึ้น ดังนั้นในช่วงวัยนี้จึงควรได้รับแคลเซียมปริมาณวันละ 1,500 มิลลิกรัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือผู้ที่จำเป็นต้องตัดมดลูกและรังไข่ ซึ่งมีการศึกษาพบว่าร่างกายจะสูญเสียกระดูกภายในระยะเวลา 5 – 6 ปี หลังจากที่ฮอร์โมนเพศเริ่มทำงานลดน้อยลง
สำหรับผู้สูงอายุที่มีการเสริมแคลเซียมไว้อย่างเพียงพอ หรือได้รับการสะสมแคลเซียมก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงวัยนี้ จะช่วยยับยั้งและลดการสูญเสียกระดูกได้ ซึ่งการผุกร่อนของกระดูกจะลดน้อยลง ทำให้ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกในช่วงวัยนี้ได้พอสมควร
แคลเซียมกับการเกิดโรคกระดูกพรุน
ในหนึ่งวัน... คนไทยต้องได้รับแคลเซียม 800-1,500 มก.แต่ความเป็นจริงคนไทยได้รับแคลเซียมต่อวันเฉลี่ยเพียง 361 มก.เท่านั้น หากร่างกายเราได้รับ แคลเซียมไม่เพียงพอ ร่างกายจะดึงแคลเซียมที่สะสมในกระดูกมาใช้ เมื่อเกิดขึ้นเป็นประจำ แคลเซียมถูกดึงออกมาใช้มากจนกระทั้งกระดูกพรุน เปราะบางทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง แตกหักได้ง่ายแม้จะได้รับการกระแทกเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้ เป็นอาการของโรค กระดูกพรุน
ในระยะแรกโรคนี้จะไม่แสดงอาการออกมา จนกระทั่งมีความรุนแรงมากขึ้น จึงแสดงอาการออกมา เช่น ปวดหลังเรื้อรัง หลังค่อมเนื่องจากการยุบตัวของกระดูกสันหลัง หรือกระดูกสะโพกหัก ทำให้เดินไม่ได้เหมือนเดิม และเกิดภาวะแทรกซ้อน อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน
-ผู้ที่อายุ 30 ปีขึ้นไป พบว่าการสะสมแคลเซียมในกระดูกจะมีค่าเท่ากับศูนย์ นั่นคือ ขบานการสะสมแคลเซียมในกระดูกกับการสลายแคลเซี่ยมออกจากกระดูกมีค่าเท่ากัน พออายุเพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการสะสมแคลเซียมในกระดูกจะน้อยกว่าขบวนการสลายแคลเซียมออกจากระดูก ทำให้เนื้อกระดูกบางลง
-หญิงวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเพศที่ลดลง ทำให้ขบวนการสลายแคลเซียม เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ไวขึ้น
-ผู้ที่ดึ่มกาแฟเป็นประจำ พบว่าการดึ่มกาแฟเป็นประจำจะรบกวนการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย
-ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย
-ผู้ที่ดึ่มสุราเป็นประจำ
-ผู้ที่สูบบุหรี่
-ผู้ที่ขาดแคลเซียม หรือวิตามินดี
คำแนะนำจาก COACH BANK นักวิทยาศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ ในการเลือกรับประทานอาหารเพื่อให้แคลเซียมที่เพียงพอ
แคลเซียมแอลทรีโอเนตดีกว่าแคลเซียมฟอร์มอื่นอย่างไร
แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต
เป็นแคลเซียมที่สกัดมาจากข้าวโพด แคลเซียมชนิดที่ละลายน้ำได้ดีมาก สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้เกือบ 100% สามารถดูดซึมได้ดีกว่า แคลเซียมคาร์บอเนตถึง 6 เท่า
แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ดีอย่างไร ?
- แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่าแคลเซียมชนิดอื่นๆ เพราะสามารถรักษาคุณค่าของแคลเซียมได้ครบถ้วนคือ ช่วยเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรง ยับยั้งการสลายตัวของกระดูกบริเวณข้อต่อและกระดูกอ่อน ช่วยปรับปรุงกระบวนการสร้างเซลล์กระดูกให้แข็งแรงขึ้น
- แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ได้รับสิทธิบัตรจากอเมริกาว่าสามารถยับยั้งและป้องกันโรคกระดูกผุหรือกระดูกหักง่าย เนื่องจากมีกระดูกบาง พรุนและข้อเสื่อม โดยได้รับการทดลองและสนับสนุนจากทางการแพทย์ใน USA
กระดูกพรุน หรือบางคนอาจจะเรียกว่ากระดูกเสื่อม กลุ่มนี้คือการที่ตัวเนื้อกระดูกบางลง มีรูพรุนเพิ่มขึ้น ทำให้มวลเนื้อกระดูกลดลง ซึ่งทำให้กระดูกเปราะ แตกหักง่าย ที่ตำแหน่งกระดูกสันหลังกระทั่งทำให้กระดูกสันหลังยุบตัวโดยอาจทำให้มีอาการเจ็บปวดและหลังโก่งงอมากขึ้นได้ ถ้าหากเกิดในตำแหน่งกระดูกอื่นๆ ที่พบบ่อยคือ กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก-ต้นขา ก็จะทำให้กระดูกเหล่านี้เปราะบางและหักง่ายขึ้น เวลาเราล้มหรือเกิดอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงมาก ก็อาจจะทำให้เกิดกระดูกหัก
สำหรับโรคที่มาควบคู่กับโรคกระดูกพรุน ที่หลายคนมองข้ามคือ โรคข้อเสื่อม โรคข้อเสื่อมนี้เกิดขึ้นได้กับทุกๆข้อกับร่างกาย ส่วนใหญ่จะพบมากในข้อใหญ่ๆ และข้อที่รองรับน้ำหนักตัว เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพกหรือข้อเท้า คนไทยเองส่วนมากเกิดในข้อเข่าเยอะที่สุดนะครับ โรคข้อเสื่อมจริงๆเกิดจากการที่ข้อต่อต้องเคลื่อนไหวและรับน้ำหนักต่อเนื่องสะสมกันมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการสึกหรอของกระดูกอ่อนผิวข้อ เกิดเป็นความขรุขระ ไม่เรียบของผิวกระดูกอ่อน ทำให้เกิดอาการอักเสบ บวม แดง ร้อน เกิดอาการเจ็บข้อ และเคลื่อนไหวติดขัด ตามระดับความรุนแรงของโรค
"UC-II" ทางเลือกใหม่ในการดูแล...ข้อเข่าเสื่อม
ในปี 2016 Lugo J P และคณะ ได้ทำการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของคอลลาเจน UC-II ขนาด 40 มิลลิกรัมต่อวัน ในการบรรเทาอาการปวดและการอักเสบของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม เทียบกับกลุ่มที่รักษาด้วยสารสกัดสูตรผสมของกลูโคซามีน ขนาด 1,500 มิลลิกรัม และคอนดรอยติน ขนาด 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน และกลุ่มที่ได้รับยาหลอกในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมทั้งหมด 191 คน ติดตามผลการรักษานาน 6 เดือน
พบว่า คอลลาเจนไทพ์ทู (UC-II) สามารถบรรเทาอาการและลดการอักเสบของข้อเข่าเสื่อมได้ดีทั้งด้านการลดอาการปวดข้อ อาการข้อเข่าติด และการใช้งานของข้อเข่า และพบว่าดีกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่ม ที่ได้รับสารสกัดสูตรผสมของทั้งกลูโคซามีนและ คอนดรอยติน รวมทั้งกลุ่มที่ได้ยาหลอก